ระบบการให้น้ำพืช
การให้น้ำแบบฉีดฝอย
ระบบสปริงเกลอร์ (Spinkler)
- เป็นการให้น้ำโดยฉีดขึ้นไปบนอากาศเหนือต้นพืช กระจายเป็นฝอยแล้วให้น้ำตกลงมาบนพื้นที่เพาะปลูก มีลักษณะคล้ายฝนโปรยลงมาบนพื้นดิน
- เหมาะสำหรับพืชที่ปลูกเป็นผืนกว้าง
ข้อดี
- กระจายน้ำเป็นวงกว้าง จึงใช้อุปกรณ์น้อย
- ไม่มีปัญหาการอุดตัน ดูแลง่าย
- ใช้เครื่องกรองเฉพาะหัวฉีดขนาดเล็ก
ข้อจำกัด
- สูญเสียน้ำมากจากการระเหยและกระจายไปตามลม
- ลงทุนสูง
- ใช้พลังงานสูง
การให้น้ำแบบเฉพาะจุด (Localize Irrigation)
ระบบมินิสปริงเกลอร์ (Mini Sprinkler)
- เป็นการให้น้ำบริเวณรากพืชโดยตรง น้ำจะถูกปล่อยจากหัวปล่อยน้ำสู่ดินให้ซึมไปในดินบริเวณเขตรากพืช
- เหมาะสำหรับพืชที่ปลูกระยะห่างตั้งแต่ 4 เมตรขึ้นไป
ข้อดี
- มีใบหมุนช่วยกระจายน้ำเป็นวงกว้างใช้กับไม้ผลได้ดี
- แรงดันที่ใช้ในระบบต่ำ ทำให้ประหยัดต้นทุนในการสูบน้ำ
ข้อจำกัด
- อุดตันง่าย ต้องการใช้เครื่องกรองที่ดี (ใช้เครื่องกรองละเอียด : 40-120 เมช) และต้องล้างไส้กรองทุกวัน
- ถ้าใบชำรุดจะใช้งานไม่ได้
การให้น้ำแบบเฉพาะจุด (Localize Irrigation)
ระบบไมโครสเปรย์ (Micro Spray) และเจ็ท (Jet)
- เป็นการให้น้ำบริเวณรากพืชโดยตรง น้ำจะถูกปล่อยจากหัวปล่อยน้ำสู่ดินให้ซึมไปในดินบริเวณเขตรากพืช
- เหมาะสำหรับพืชที่ปลูกระยะ 2-4 เมตร
ข้อดี
- เกิดปัญหาการสึกหรอของอุปกรณ์น้อย เพราะเป็นอุปกรณ์ที่ไม่มีชิ้นส่วนเคลื่อนไหว
- ใช้งานได้นาน
- แรงดันที่ใช้ในระบบต่ำ ทำให้ประหยัดต้นทุนในการสูบน้ำ
ข้อจำกัด
- อุดตันง่าย ต้องการระบบกรองที่ดี (ใช้เครื่องกรองละเอียดสูง : 80-120 เมช) และต้องล้างไส้กรองทุกวัน
- มีการสูญเสียน้ำจากการกระจายไปตามลม
การให้น้ำแบบเฉพาะจุด (Localize Irrigation)
ระบบน้ำหยด (Drip)
- เป็นการให้น้ำบริเวณรากพืชโดยตรง น้ำจะถูกปล่อยจากหัวปล่อยน้ำสู่ดินให้ซึมไปในดินบริเวณเขตรากพืช
- เหมาะสำหรับพืชที่ปลูกเรียงเป็นแถวชิดหรือต้นไม้ขนาดเล็ก
ข้อดี
- ประหยัดน้ำ
- ใช้พลังงานน้อยที่สุด
- ใช้ต้นทุนต่ำ
ข้อจำกัด
- อุดตันง่าย ต้องการระบบกรองที่ดี (ใช้เครื่องกรองละเอียดสูงมาก : 140 เมช) และต้องล้างไส้กรองทุกวัน
- ตรวจสอบการปล่อยน้ำยาก เนื่องจากวางบนพื้นดิน
จัดทำโดย : ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านวิศวกรรมเกษตรจังหวัดชัยนาท กรมส่งเสริมการเกษตร