ศูนย์วิทยบริการเพื่อส่งเสริมการเกษตร

10

เรื่องล่าสุด

โรคราสนิมในถั่ว สาเหตุ : เกิดจากเชื้อรา Uromyces spp. ลักษณะอาการเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดอีกโรคหนึ่งของถั่ว โดยอาจเกิดกับถั่วเกือบทุกชนิด เป็นโรคที่อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงได้ ในสภาวะหรือในขณะที่สิ่งแวดล้อมเหมาะสมต่อโรค จะเกิดขึ้นได้บนทุกส่วนของต้นถั่วที่อยู่เหนือดิน แต่จะพบมากที่สุดบนใบ โดยอาการจะเริ่มจากจุดสีเขียวซีดหรือเหลืองที่มีลักษณะกลม ๆ เล็ก ๆ ขึ้นก่อน ต่อมาตอนกลางจุดจะยกนูนสูงขึ้น แล้วแตกออกพร้อมกับจะมีผงหรือกลุ่มของสปอร์สีน้ำตาลแดงเกิดขึ้นเป็นจุด ๆ เห็นได้ชัดเจน ส่วนของเนื้อใบรอบจุดแผลก็จะมีลักษณะเป็นเซลล์ตายสีเหลือง

เตือนเฝ้าระวังศัตรูพืช ประจำเดือนมกราคม 2568 ภาคเหนือข้าว ระวัง เพลี้ยกระโดดหลังขาว หนอนกอข้าว แมลงบั่ว โรคไหม้ข้าวลำไย ระวัง มวนลำไย เพลี้ยแป้ง หนอนกินใบ โรคพุ่มไม้กวาดกาแฟ ระวัง มอดเจาะผลกาแฟ เพลี้ยหอยสีเขียว โรคใบจุดผัก ระวัง หนอนกระทู้ผัก โรคราน้ำค้าง โรคราแป้ง

กระท้อน คลองน้อย สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ลำดับที่ 7 จังหวัดสุราษฎร์ธานี กระท้อนพันธุ์อีล่าและพันธุ์ปุยฝ้าย จากแหล่งปลูกที่เป็นดินสองน้ำ (น้ำจืดผสมน้ำกร่อย) ทรงผลค่อนข้างกลม ผิวเปลือกสีเหลืองทอง เปลือกบาง เนื้อหนา ไม่ฝาด ปุยหรือเนื้อหุ้มเมล็ดฟู หนา แน่น สีขาว รสชาติหวานอมเปรี้ยวเล็กน้อย ปลูกในพื้นที่ตำบลคลองน้อย บางไทร

ปลูกแตงโมหลังทำนา สร้างอาชีพ การเตรียมดินไถดะตากดิน 7 วัน และไถพรวนยกร่อง ระยะปลูก 40-50 เซนติเมตร ระยะแถว 3 เมตร ใส่ปุ๋ยคอก 1 ตัน/ไร่ ร่วมกับปุ๋ยเคมี สูตร 15-15-15 อัตรา 20 กิโลกรัม/ไร่ พ่นไตรโคเดอร์มา

ขอเชิญเกษตรกรและผู้สนใจ ฝึกอบรมการผลิตพืชพันธุ์ดี ประจำเดือนมกราคม 2568 ฟรี วันที่ 7 มกราคม 2568วันที่ 8 มกราคม 2568วันที่ 9 มกราคม 2568 หลักสูตร พืชพันธุ์ดี 4 สายการผลิต เพื่อคุณภาพชีวิตเกษตรกร ได้แก่1.การผลิตต้นพันธุ์ พริกเดือยไก่

สำนักงานเกษตรอำเภอบ้านหมี่ รับสมัครเกษตรกรที่สนใจเข้าร่วมอบรมแหนแดง การเพาะเลี้ยงและขยายพันธุ์แหนแดง วันที่ 23 มกราคม 2568กิจกรรม : อบรมการเพาะเลี้ยงและการขยายพันธุ์แหนแดงณ ศูนย์เรียนรู้กสิกรรมไร้สารพิษละโว้ อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี วันที่ 24 มกราคม 2568กิจกรรม : การศึกษาดูงานการเพาะเลี้ยงและการขยายพันธุ์แหนแดงตามหลักวิชาการณ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรนครสวรรค์ อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ เข้าดูรายละเอียดเพิ่มเติม

คำแนะนำการป้องกันกำจัด เพลี้ยจักจั่นมะม่วง ชื่อวิทยาศาสตร์1.Idioscopus clypealis (Lethierry)2.Idioscopus niveosparsus (Lethierry) วงจรชีวิตตัวเต็มวัยเพศเมียวางไข่เป็นฟองเดี่ยว ๆ รูปร่างยาวรี สีเหลืองอ่อน ตามแกนกลางใบอ่อนหรือก้านช่อดอกปรากฎเป็นรอยแผลเล็ก ๆ คล้ายรอยมีดกรีด ภายหลังจากการวางไข่แล้ว ประมาณ 1-2 วัน จะเห็นยางสีขาวของมะม่วงไหลหยดออกให้เห็น ระยะไข่ 7-10 วัน

การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้มีวิธีการหรือขั้นตอนหลากหลายตามลักษณะสกุลหรือพันธุ์ที่ต้องการ หากเกษตรกรหรือผู้สนใจปลูกเลี้ยงกล้วยไม้สกุลหรือพันธุ์ใด จำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจกล้วยไม้สกุลหรือพันธุ์นั้น ๆ ก่อน โดยสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก 2 เอกสาร ด้านล่าง สวนกล้วยไม้ GAP สำหรับเกษตรกรคลิกอ่าน : https://bit.ly/40rr54E การปลูกเลี้ยงกล้วยไม้แบบมืออาชีพคลิกอ่าน : https://bit.ly/3NXdDPU

ขอเชิญเกษตรกร ผู้ที่สนใจ เข้าร่วม การฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการ หลักสูตร “การผลิตนางพญาผึ้งสายพันธุ์ดี” ณ ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านแมลงเศรษฐกิจ จังหวัดชุมพร สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านแมลงเศรษฐกิจ จังหวัดชุมพร

เพลี้ยไฟเข้าทำลายผักสลัด

เพลี้ยไฟเข้าทำลายผักสลัด

เพลี้ยไฟเข้าทำลายผักสลัด คำแนะนำในการป้องกันกำจัดเพลี้ยไฟ ดังนี้ 1. เมื่อมีการระบาดของเพลี้ยไฟอย่างรุนแรงให้ใช้สารสกัดใบยาสูบ ฉีดพ่นทุก 2-3 วัน และเมื่อประชากรเพลี้ยไฟจะลดลงแล้วสามารถฉีดพ่นสารสกัดใบยาสูบทุก 7-10 วัน โดยสลับกับการฉีดพ่นไวต์ออยล์ หรือปิโตรเลียมออยล์ 5-7 วัน/ครั้ง 2. และเมื่อประชากรเพลี้ยไฟลดลง ให้ใช้สารสกัดสะเดาหรือน้ำส้มควันไม้ อัตราส่วน 15-20 ชีซี/น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 1 ครั้ง/สัปดาห์ 3. ใช้สารชีวภัณฑ์ ได้แก่ เชื้อราเมตาไรเชียม หรือเชื้อราบิวเวอเรีย ฉีดพ่น 1 ครั้ง/สัปดาห์ 4. ใช้กับดักกาวเหนียวติดตั้งรอบบริเวณแปลง 5. กำจัดวัชพืชรอบแปลงซึ่งเป็นแหล่งอาศัยของเพลี้ยไฟ ภาพจาก : กลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดสุโขทัย https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid02kNRKhQUW1gWrqmJtMGGF5WeyQRMQASabiiHdQ6t8zbzzRJYBg6998RECn25a2MWYl&id=100013463325204

เพลี้ยไฟในข้าวโพดหวานและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

เพลี้ยไฟในข้าวโพดหวานและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

เพลี้ยไฟในข้าวโพดหวานและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ภาพจาก : กลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดสุโขทัย https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid0rNFmQ8CrJPWdGZGGoX6Y4JAcu2arA3mnQxBPpxdkvGf3foH6JQkhMU9H2ztVZ4JSl&id=100013463325204

โรคใบจุดขอบใบไหม้ในทุเรียน

โรคใบจุดขอบใบไหม้ในทุเรียน

โรคใบจุดขอบใบไหม้ในทุเรียน เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อรา Phomopsis sp. โดยเชื้อจะเข้าทำลายที่ปลายใบและขอบใบไม้ จุดที่เกิดโรคจะมีเนื้อใบไม้ที่แห้งเป็นสีน้ำตาลแดงก่อนและต่อมาเปลี่ยนเป็นสี ขาวอมเทา และเมื่อเชื้อเจริญเติบโตจะทำความเสียหายกับใบทุเรียน โรคใบไหม้ แพร่ระบาดไปโดย ลม ฝน และ เนื้อเยื่อใบที่แห้ง สาเหตุโรค อาการโรคใบจุด ขอบใบไหม้ ส่วนมากเชื้อจะเข้าทำลายที่บริเวณปลายใบไม้และขอบใบไม้ก่อน เกิดอาการปลายใบแห้ง และ ขอบใบแห้ง ที่จุดเชื้อสาเหตุเข้าทำลาย เนื้อใบส่วนนั้นจะแห้งเป็นสีน้ำตาลแดงในระยะแรก และต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีขาวอมเทา และเชื้อจะเจริญพัฒนาทำความเสียหายกับใบทุเรียน ขยายขนาดของพื้นที่เนื้อใบแห้งออกไปเรื่อยๆ เนื้อใบส่วนที่แห้งสีขาวอมเทามีการสร้างส่วนขยายพันธุ์เป็นเม็ดสีดำกระจัดกระจายเต็มพื้นที่ การแพร่ระบาดของโรค ส่วนขยายพันธุ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาจะแพร่ระบาดไปโดยลม และ ฝน และ จากเนื้อเยื่อใบที่แห้งและหล่นตกค้างอยู่มี่ใต้โคนต้น เชื้อสามารถเข้าทำลายได้ทั้งใบอ่อนและใบแก่ แนวทางการจัดการโรคใบจุด ขอบใบไหม้ เมื่อพบการระบาดของโรค ควรตัดแต่งกิ่งที่ป็นโรค เพื่อลดปริมาณเชื้อสาเหตุในแปลงปลูก แล้วพ่นสารป้องกันกำจัดโรคพืชที่มีประสิทธิภาพ กำจัดเศษซากของต้นทุเรียน ที่ตัดแต่งกิ่งออกจากแปลงปลูกให้หมด อย่าปล่อยทิ้งไว้ จะกลายเป็นแหล่งสะสมโรคและแหล่งแพร่กระจายโรค ในช่วงที่สภาพแวดล้อมเหมาะสมเช่นอากาศแล้งจัดๆ เศษซากพืชที่เป็นโรคเหล่านี้จะเป็นแหล่ง พักตัวของเชื้อสาเหตุโรคต่างๆ สารป้องกันกำจัดโรคพืชที่มีประสิทธิภาพ เช่นสารกลุ่ม 1( เบนโนมิล คาร์เบนดาซิม ไธอะเบนดาโซล ไทโอฟาเนทเมทิล) สารกลุ่ม 3 ( ไตรฟอรีน โพรคลอราช ไดฟิโนโคนาโซล อีพ๊อกซีโคนาโซล เฮกซาโคนาโซล ไมโคลบิวทานิล โพรพิโคนาโซล ทีบูโคนาโซล และ เตตรานาโซล เป็นต้น ) และสารกลุ่ม 11 ( อะซ๊อกซีสโตรบิน ไพราโคลสโตรบิน ครีโซซิมเมทิล และ ไตรฟล๊อกซีสโตรบิน เป็นต้น) และ สลับด้วยสารประเภทสัมผัส เช่น สารกลุ่มคอปเปอร์ แมนโคเซ็บ โพรพิเนป และ คลอโรทาโลนิล เปินต้น ภาพจาก : กลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดสุโขทัย https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=pfbid031MqnCqvJm7A8UW1Kt7Msqv9hTeg2jrnguYt7z5gWWfqUEcxKHXQXgwA1rmdWjsGcl&id=100013463325204

โรคในแปลงกล้วยตานี

โรคในแปลงกล้วยตานี

โรคในแปลงกล้วยตานี ใบล่างของกล้วยมีอาการจุดสีดำประปราย และเริ่มลุกลามทำให้ใบเหลืองแห้ง แต่ยังไม่พบยืนต้นตาย เมื่อตัดลำต้นกล้วยไม่พบแผลหรือรอยช้ำ ไม่พบรอยเจาะของด้วงงวงเจาะลำต้นกล้วย จึงสันนิษฐานว่ากล้วยเป็นโรคใบจุด แนะนำให้หมั่นตรวจแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ หากพบใบกล้วยมีอาการของโรคให้รีบตัดใบที่เป็นโรคนำออกไปทำลายนอกแปลงปลูก และตัดแต่งใบกล้วยในแต่ละต้นหรือแต่ละกอ ไม่ให้แน่นเกินไป เพื่อลดความชื้นในกอกล้วยที่จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหรือสะสมของเชื้อรา จากนั้นให้พ่นด้วยสารป้องกันกำจัดโรคพืช ไดฟีโนโคนาโซล 25% อีซี อัตรา 30 มิลลิลิตรต่อน้ำ 20 ลิตร หรือ แมนโคเซบ 80% ดับเบิลยูพี อัตรา 30 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร พ่นให้ทั่วต้นที่เป็นโรค และหากเกษตรกรต้องการปลูกกล้วยในพื้นที่ใหม่ ควรหลีกเลี่ยงการปลูกในพื้นที่ที่เคยมีการระบาด ของโรคนี้มาก่อน และไม่นำหน่อพันธุ์จากต้นตอที่เป็นโรคไปปลูก ให้เลือกใช้หน่อกล้วยที่มีคุณภาพดี จากแหล่งปลอดโรคและควรทำความสะอาดอุปกรณ์การเกษตรที่ใช้กับต้นที่เป็นโรคก่อนนำกลับมาใช้ใหม่ ภาพจาก : กลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัดสุโขทัย https://www.facebook.com/photo/?fbid=1738789856579775&set=pcb.1738790286579732

หนอนกอข้าว

หนอนกอข้าว

ภาพจาก : สำนักงานเกษตรอำเภอคลองขลุง https://www.facebook.com/photo?fbid=666091328902223&set=pcb.666091352235554