ศูนย์วิทยบริการเพื่อส่งเสริมการเกษตร

10

เรื่องล่าสุด

ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง มาตรการบริหารจัดการป้องกันแและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก ไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM 2.5) ภาคการเกษตร ประกาศลงวันที่ 17 มกราคม 2568

ขอเชิญร่วมงานคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : สำนักงานเกษตรพื้นที่ 4 โทรศัพท์ 0 2441 3705

หยุดเผาได้ 5 ดี ผลกระทบจากการเผา ด้านสุขภาพอนามัยการเผา ทำให้เกิดฝุ่น ควัน และก๊าซพิษเป็นอันตรายต่อชีวิต ด้านการเกษตร ด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ ด้านกฎหมาย จัดทำโดย : สำนักงานส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรที่ 3 จังหวัดระยอง

โรคต้นแตกยางไหลในเมล่อน สาเหตุจากเชื้อรา : Mycosphaerella citrulline และ Didymella sp. ช่วงการระบาด : ระบาดมากในช่วงฤดูฝน ข้อสังเกตลักษณะ/อาการที่อาจพบ : แผลจะฉ่ำน้ำ เป็นยางเหนียวสีน้ำตาลแดงที่บริเวณโคนต้น ลำต้น และก้านใบ เมื่อแผลแห้งจะเป็นจุดสีดำเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วบริเวณแผล แนวทางป้องกัน/แก้ไข นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งสาเหตุที่สำคัญ

การใช้ปุ๋ยในนาข้าวที่เหมาะสมตามระยะการเจริญเติบโตของข้าว ดาวน์โหลดไฟล์ PDF. ระยะการเจริญเติบโตของข้าว มีความต้องการอาหารแตกต่างกัน ดังนี้ ระยะข้าวงอก (ระยะ 0-1)ถึงระยะกล้า ต้นข้าวจะใช้อาหารที่สะสมในเมล็ดตั้งแต่ข้าวเริ่มงอก จนถึงต้นกล้าอายุ 14-20 วัน ระยะข้าวกล้า (ระยะ 1-2)ต้นข้าวเริ่มดูดธาตุอาหารผ่านราก ต้องบำรุงด้วยปุ๋ยที่มีธาตุอาหารไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซียม (K)

วารสารส่งเสริมการเกษตร ปีที่ 57 ฉบับที่ 318 (กันยายน – ตุลาคม 2567) ดาวน์โหลดไฟล์ PDF. สารบัญ/contents หน้า 2 Smart DOAEเทคนิค 3E’s เพื่อการตรวจสอบการดำเนินงาน (Performance Audit) หน้า 4

สารเคมีเป็นทางเลือกหนึ่งที่เกษตรกรนิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง ดังนั้น เกษตรกรจะต้องคำนึงถึงการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชอย่างถูกต้องและปลอดภัย โดยใช้สารเคมีตรงชนิดกับศัตรูพืช ใช้ถูกอัตรา ใช้ถูกระยะเวลา และใช้ให้ถูกวิธี เกษตรกร…ต้องรู้ กลไกการเข้าทำลายสารเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืชคลิกอ่าน : https://bit.ly/474wn71 4 ขั้นตอน การผสมสารเคมี ป้องกันกำจัดศัตรูพืชให้ถูกวิธีคลิกอ่าน : https://bit.ly/3t1Wfl6 คู่มือการตรวจวิเคราะห์สารเคมีตกค้างในผลผลิตการเกษตรคลิกอ่าน : https://bit.ly/42rFVJE

การปรับตัวภาคการเกษตรกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) และภาวะโลกร้อน (Global Warming) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นปัญหาสำคัญและส่งผลกระทบไปทั่วโลก มีสาเหตุสำคัญมาจากภาวะโลกร้อน (Global Warming) ซึ่งเกิดจากก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gas GHG) ในบรรยากาศที่เพิ่มขึ้นจากกิจกรรมของมนุษย์ ประเทศไทยได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกเป็นอันดับต้น ๆ โดยเฉพาะภาคการเกษตร

ห้องสมุดกรมส่งเสริมการเกษตร แนะนำหนังสือใหม่ เดือนมกราคม 2568 สามารถเข้ามารับบริการการอ่านได้ที่ ห้องสมุดกรมส่งเสริมการเกษตร อาคารส่งเสริมการเกษตรเบญจสิริกิติ์ ชั้น 5 (ห้องสมุดกรมส่งเสริมการเกษตร) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม : โทรศัพท์ 0-2579-2594 โทรสาร 0-2579-5517 สืบค้นข้อมูลเรื่องอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่ : http://library.doae.go.th

เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2568 ศูนย์วิทยบริการเพื่อส่งเสริมการเกษตร ได้ส่งมอบกล่องยูเอสที ให้กับการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ในโครงการกล่องวิเศษ ทางพิเศษรักษ์โลก ปีงบประมาณ 2567


เพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน (Durian leafhopper)

วงจรชีวิต

  • ตัวเต็มวัย หรือวัยเจริญพันธุ์ : มีอายุเฉลี่ยราว 21-28 วัน โดยเพศเมียมีอายุยืนยาวกว่าเพศผู้ ปกติเพศเมียมีสัดส่วนมากกว่าเพศผู้ 1.3 ต่อ 1 (ตัว)
  • ไข่ : เพศเมีย วางไข่เป็นฟองเดี่ยว ในเนื้อเยื่อเส้นใบ หรือบางครั้งวางไข่ที่ก้านใบอ่อน ๆ เพศเมีย 1 ตัว วางไข่เฉลี่ย 15 ฟอง ไข่ใช้เวลา 6-7 วัน จึงฟักออกมาเป็นตัวอ่อน
  • ตัวอ่อน : ตัวอ่อนเพลี้ยจักจั่นฝอยไม่มีปีก เมื่อแรกฟักจะมีรยางค์ที่ต่อมาพัฒนาเป็นปีกคล้ายลูกไก่ที่พึ่งฟัก ตัวอ่อนมีการเจริญเติบโต 5 วัย โดยการลอกคราบคล้ายปูนิ่ม เมื่อลอกคราบแต่ละครั้งตัวจะมีขนาดใหญ่ขึ้น ตัวอ่อนนี้มีน้ำลายที่เป็นพิษเช่นเดียวกับตัวเต็มวัย และมีอายุเฉลี่ย 7-8 วัน แต่อาจนานมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ

ลักษณะการทำลาย

  • เพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน พบการทำลายในช่วงทุเรียนแตกใบอ่อน โดยตัวอ่อนและตัวเต็มวัยจะดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบ และปล่อยสารพิษออกมาทำให้ใบเหมือนถูกน้ำร้อนลวก เหี่ยวและค่อย ๆ แห้งไป ขอบใบจะเป็นสีน้ำตาลแดงและม้วนงอขึ้น แล้วแห้งลามไปทั้งใบ ทำให้ทุเรียนชะงักการเจริญเติบโต

แนวทางการป้องกันกำจัด

เขตกรรม

  • หมั่นสำรวจแปลง หากพบเพลี้ยจักจั่นฝอย ให้ตัดส่วนที่ถูกทำลายออกนอกแปลง

วิธีกล

  • ใช้กับดักกาวเหนียวสีเหลืองดักจับตัวเต็มวัย เพื่อลดปริมาณตัวเต็มวัยของเพลี้ยจักจั่นฝอย

ชีววิธี

  • การใช้สารสกัดจากพืช เช่น สารสกัดสะเดา หางไหล โล่ติ๊น หรือน้ำหมักจากข่าแดง ตะไคร้หอม บอระเพ็ด เป็นต้น ฉีดพ่นเพื่อไล่เพลี้ยจักจั่นฝอย
  • พ่นเชื้อราบิวเวอเรีย/เมตาไรเซียม อัตรา 1 กก. น้ำ 80 ลิตร ทุก 15 วัน ติดต่อกัน 2-3 ครั้ง หรือจนกว่าปริมาณเพลี้ยจักจั่นฝอยจะลดลง

สารเคมี การใช้สารเคมี เช่น สารเคมีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันกำจัดกลุ่มเพลี้ยจักจั่น ได้แก่

  • กลุ่ม 1 เช่น คาร์บาริล คาร์โบซัลแฟน เบนฟูราคาร์บ โพรฟิโนฟอส โพรไทโอฟอส ไดเมโทเอต โอเมโทเอต ไตรคลอร์ฟอน
  • กลุ่ม 2 ฟิโพรนิล อีทิโพรล
  • กลุ่ม 3 ไพรีทรอยด์สังเคราะห์ เช่น แลมบ์ดาไซฮาโลทริน เดลทาเมทริน ไบเฟนทริน อีโทเฟนพร็อก
  • กลุ่ม 4 นีโอนิโคตินอยด์ เช่น อิมิดาโคลพริด ไทอะมีโทแชม โคลไทอะนิดิน ไทอะโคลพริด
  • กลุ่ม 6 อะบาเม็กติน อีมาเมกติน
  • กลุ่ม 9 ไพมีโทรซีน
  • กลุ่ม 14 คาร์แทป
  • กลุ่ม 15 คลอร์ฟลูอาชูรอน โนวาสูรอน ลูเฟนนูรอน ไตฟลูเบนซูรอน
  • กลุ่ม 16 บูโพรเฟซีน
  • กลุ่ม 21 ไพริดาเบน โทลเฟนไพแรด
  • กลุ่ม 22 อินดอกชาคาร์บ
  • กลุ่ม 29 ฟลอนิคามิด

การใช้สารเคมีกำจัดแมลงเพื่อแก้ไขปัญหาการดื้อยาของเพลี้ยจักจั่น ควรพ่นสารเคมีที่มีกลไกการออกฤทธิ์แตกต่างกันสลับกันตามวงจรชีวิตของแมลง สำหรับเพลี้ยจักจั่นมีวงจรชีวิตประมาณ 1 เดือน ดังนั้น ควรใช้สารที่มีกลไกเดียวกันไม่เกิน 1 เดือน เดือนถัดไปควรเปลี่ยนกลุ่มสารเคมีที่มีกลไกไม่ซ้ำกัน

เรียบเรียงโดย : ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านอารักขาพืช จังหวัดสงขลา

เพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน
https://esc.doae.go.th/wp-content/uploads/2024/07/เพลี้ยจักจั่นฝอยทุเรียน.jpg